
ชื่อ : โซล อิลเดนสันสเตมฟอร์ด
แอคทวิต : @soullll6
ตำแหน่ง : นักเรียน Entertainer
เพศรอง : โอเมก้า ฟีโรโมน : ช็อกโกแลต รสนม
ส่วนสูง : 180 cm. น้ำหนัก : 60 kg.
สีที่ชอบ : ฟ้า สีประจำตัว : ชมพู
สัญลักษณ์ประจำตัว : กระต่ายสีขาวขนปุกปุย
เชื้อสาย : เจ้าชายแห่งราชวงศ์อิลเดนสันสเตมฟอร์ด สืบเชื้อสายมาจากราชาแห่งดินแดน Black Forest ดินแดนลึกลับที่ไม่มีใครเคยค้นพบมาก่อน
ประวัติ : ผมชื่อ โซล อิลเดนสันสเตมฟอร์ด เจ้าชายคนสุดท้องแห่งดินแดน Black Forest ดินแดนที่เต็มไปด้วยสัตว์เวทย์ ใช่....คุณฟังไม่ผิดหรอกทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้คือ "สัตว์เวทย์" รวมถึงตัวผมด้วยเช่นกัน
ทุกคนในดินแดนแห่งนี้ล้วนเป็นสัตว์ที่มีพลังเวทย์เฉพาะตัวรวมไปถึงการกลายร่างเป็นมนุษย์ทั่วไปได้อย่างแนบเนียน ชนิดที่ว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะจับได้ว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกันกับเขาอย่างแน่นอน
สัตว์เวทย์ที่เกิดในอาณาจักรจะได้รับการศึกษาที่สถาบัน Black Forest School เพื่อค้นหาพลังที่แฝงอยู่ในตนเอง แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับผม มินิลอปสีขาวขนฟูตัวเดียวในอาณาจักร หรือที่มนุษย์เรียกว่ากระต่ายนั่นละครับ ผม...เป็นเพียงผู้เดียวในรุ่นที่ค้นหาพลังตนเองไม่เจอ ไม่ว่าจะฝึกฝนมากเพียงใดก็ไม่เจอ และการที่สัตว์เวทย์ไม่มีพลังเวทย์ นั่นถือเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ควรของอาณาจักรของเรา สัตว์เวทย์ที่ไม่มีพลังเวทย์จะเรียกว่าสัตว์เวทย์ได้ยังไงจริงไหมครับ
ผมต้องกลายเป็นเจ้าชายเพียงองค์เดียวของราชวงศ์ อิลเดนสันสเตมฟอร์ด ที่ไร้ซึ่งพลังเวทย์ เป็นเพียงมินิลอปธรรมดาที่ถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาดทุกครั้งที่เข้าเรียน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมชอบที่จะไปนอนเล่นที่บริเวณเขาหลังปราสาท หลีกหนีทุกสายตาและคำดูถูก เพื่อมานอนดูท้องฟ้าสีฟ้าอมชมพูสดใส เพราะท้องฟ้ากับสายลมอ่อนๆเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ
วันนั้นก็เป็นดั่งเช่นทุกวันจะต่างกันก็ตรงที่เป็นวันทำพิธีบูชาแท่นผลึกสีนิลที่ทำผนึกพลังภายนอกเอาไว้เพื่อปกป้องรักษาอาณาจักรของเราให้สงบสุขปลอดภัยจากสิ่งภายนอกไม่ว่าจะโลกมนุษย์ หรือดินแดนลึกลับแห่งอื่น แต่ไม่นานมานี้แท่นผลึกสีนิลมีความผิดปกติคล้ายกับว่ามันจะเสื่อมสภาพลงทำให้มีคนจากอาณาจักรของเราหายออกไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางสายตาผู้อื่น
ราชวงศ์เราจึงต้องปรึกษาหาข้อมูลกันอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหานี้ กระทั่งไปเจอบันทึกเก่าแก่ซึ่งระบุถึงวิธีซ่อมแซมผลึกสีนิลเพื่อที่จะผนึกพลังให้คงสภาพเอาไว้ดั่งเดิม แต่จักต้องทำให้สำเร็จก่อนวันพระอาทิตย์ทรงกลด มิเช่นนั้นคงเกิดความวุ่นวายเป็นแน่
"สละหนึ่งผู้เปล่งวาจาอันแสนไพเราะแห่งท่วงทำนอง จักหยุดยั้งมนตราแห่งผนึกสีนิล" ถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดไขออกถึงสิ่งที่จักผนึกแท่นผลึกสีนิลได้ แม้จักตามหาผู้ที่พอจักมีพลังเช่นประโยคดั่งกล่าวแต่กลับไม่เคยสำเร็จแม้สักครั้ง จนกระทั่งถึงเวลาเส้นตายตามบันทึกกล่าวเอาไว้
ทางราชวงศ์จึงได้ประกาศให้ผู้มีพลังไปรวมตัวกัน ณ แท่นผลึกสีนิลเพื่อทำพิธีบูชาอย่างน้อยก็ดีกว่าจักไม่ทำอันใดเลย ส่วนผม....คนที่ไม่มีพลังอะไรจะไปช่วยเหลือใครได้จึงได้หลบมาอยู่ที่นี่เพื่อไม่ให้เกะกะผู้อื่น แต่เสียงโวกเวกโวยวายที่ดังแว่วมาตามสายลมก็ดึงสติให้ผมหันกลับไปมองตามเสียงนั้น ขาสองข้างของผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งตรงไปยังลานจัดพิธีบูชาที่ยามนี้เกิดแสงสีดำกระจายไปทั่วทุกสารทิศพร้อมกับลมที่กรรโชกแรงจนทุกคนกระเด็นไปคนละทิศละทาง
"เกิดอะไรขึ้น!"นี่คือคำพูดเดียวที่เปล่งออกมาจากปากที่หนักอึ้งพอๆกับร่างกายที่สั่นไหวด้วยแรงกลัวที่ครอบงำจิตใจ ผมพยายามกวาดสายตามองหาพี่น้องของผมที่ไม่รู้ยามนี้จะอยู่ที่ใด
"ท่านพี่!!! ท่านอยู่ที่ใด!!!" ผมพยายามก้าวขาไปด้านหน้าอย่างยากลำบาก พลางยกมือป้องลมที่เข้ามาปะทะใบหน้าจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอคนที่ตามหา ใจผมเริ่มร้อนรนจนมือชื้นเหงื่อ พลางพยายามคิดหาทางออก......ทำให้หวนคิดถึงความหลังครั้งเยาว์วัย.....
"ท่านแม่ข้าจักไม่ต้องอยู่ผู้เดียวใช่หรือไม่ ข้ากลัวความมืด ข้ากลัวว่าหากเมื่อใดที่สว่างขึ้นทุกอย่างจะหายไปราวความฝัน"
'เด็กน้อย เจ้าจะไม่มีวันยืนอยู่เพียงผู้เดียวแม่จักสอนเจ้าร้องเพลงดีหรือไม่ หากยามใดเจ้าหวาดหวั่นใจจงร้องเพลงนี้....ดีหรือไม่'
"เพลง.....ใช่" ผมค่อยๆกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตั้งสติ เปล่งเสียงตามเนื้อเพลงในห้วงความทรงจำเพื่อหวังที่จะคลายความหวาดกลัวในจิตใจลงได้บ้าง
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น แสงสีดำที่เคยกระจายทั่วพื้นที่กลับลอยมาโอบล้อมตัวผมเอาไว้ก่อนจะเกิดแสงสีขาวพวยพุ่งออกมาจากแท่นผลึกสีนิลปูพรมเป็นทางเดินยาวมายังผม ราวกับเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปสัมผัส ผมค่อยๆก้าวไปตามทางเดินที่ส่องสว่างคล้ายกับว่าผมไม่สามารถควบคุมตนเองได้จนถึงหน้าแท่นผลึกสีนิล
"โซล!!! อย่า!!!" เสียงท่านพี่เรียกสติให้ผมหันกลับไปมองพี่ๆที่กำลังเดินตรงมาทางผมแต่ก็ไม่อาจผ่านทะลุแสงสีดำที่โอบอ้อมตัวผมเข้ามาได้ ผมยิ้มดีใจที่เห็นทุกคนปลอดภัยดีก่อนที่เสียงจากฝูงชนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมได้แต่นิ่งงันไม่ต่างจากพี่ๆทุกคน
"องค์ชายโซล ท่านคือคนตามบันทึกนั้น! ท่านต้องช่วยพวกเรา! ได้โปรด!" เสียงมากมายหลายสารทิศถูกส่งมาเพื่อขอร้องให้ผมทำบางสิ่งเพื่อหยุดยั้งเหตุการณ์ครั้งนี้
"โซล! เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละ...เราหาทางออกได้....กลับมาหาข้า" มือที่ยื่นตรงมาจากผู้เป็นพี่ยิ่งทำให้ผมตัดสินใจได้ไม่ยากเย็นนัก.....
"ทางใดเล่า...ท่านพี่" แววตาที่ถูกส่งมาเป็นคำตอบได้ดีว่ายังไม่มีทางออกที่ว่า....ยกเว้นทางที่มีอยู่ตอนนี้ทางเดียวเท่านั้น
"ท่านพี่....พวกท่านอย่าลืมทานอาหารให้ครบและจงดูแลตัวเองแทนข้าด้วย....แล้วข้าจักรีบกลับมา" ผมตัดสินใจวางมือลงบนผลึกที่ส่องแสงอยู่ก่อนที่จะเกิดแสงสว่างวาบพร้อมแรงดึงดูดมหาศาลกระชากร่างผมไปพร้อมกับแสงสีดำทั้งมลให้หลุดร่วงราวกับกำลังตกลงเหวลึก
"โซล!!!!!!" นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากครอบครัวก่อนที่ร่างผมจะลอยเคว้งไร้ทิศทางราวใบไม้ที่ปลิดปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ปลิวไปตามแรงลมจะนำพาไป
อั่ก
ร่างผมร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงทำให้จุกอยู่ไม่น้อยดีที่พื้นตรงหน้าเป็นหญ้าหนามิเช่นนั้นคงได้กระดูกหักเป็นแน่ ผมค่อยๆพยุงร่างตัวเองลุกขึ้นยืนพลันสายตาก็ไปสบเข้ากับม่านวงกลมสีขาวที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากตัวผมนัก
"ประตูมิติหรือ?" ผมยืนช่างใจเพียงครู่ว่าควรเดินผ่านเข้าไปดีหรือไม่
แต่จะว่าไปในตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะเสีย ลองเข้าไปก็คงไม่เสียหายอะไรไปกว่าที่เป็นอยู่ ผมค่อยๆก้าวผ่านม่านหมอกเข้าไปจนเจอแสงสว่างที่ส่องผ่านมาจากอีกด้านพร้อมกลิ่นหอมแสนสดชื่นที่ลอยมาตามลมทันทีที่ผมก้าวผ่านมาถึงอีกด้านทุกสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าล้วนแปลกตาไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด
"เวิร์สอะคาเดมี่" นั่นคือชื่อที่ผมรับรู้จากป้ายเมื่อมาถึง ก่อนที่จะได้รู้ว่าที่นี่คือสถานที่สำหรับเปิดรับผู้มีความสามารถ มีพรสวรรค์ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้เข้ามาอยู่ในอะคาเดมี่ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตนเองให้เป็นที่ยอมรับไม่ว่าจากผู้อื่นหรือครอบครัว และผมก็ตัดสินใจแล้วที่จะเข้าร่วมอะคาเดมี่แห่งนี้ในฐานะ นักเรียน Entertainer เพื่อค้นหาตัวเองต่อไป บางนี่อาจจะเป็นพลังที่ผมตามหาอยู่ก็ได้ เมื่อมีฝันอย่าหยุดที่จะเดินตามความฝัน และผมจะไม่หยุดจนกว่าฝันจะมาอยู่ในมือ เมื่อกลับไปที่อาณาจักรพี่ๆจะต้องภูมิใจในตัวผมอย่างแน่นอน><
ผลงานต่างๆ :